หน้าเบี้ยว จากเส้นประสาทใบหน้าที่7 (cranial nerve7 facial palsy)

facial

สารบัญ

Facial Palsy ใบหน้าเบี้ยวจากประสาทคู่ที่ 7 มีปัญหา

เส้นประสาทคู่ที่ 7 วิ่งออกมาข้างหูและส่งมาควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า ในกรณีที่เส้นประสาทนี้มีปัญหา เรียก อัมพาตจากเส้นประสาทใบหน้าคู่ที่ 7 (facial nerve palsy) เช่น อักเสบ ติดเชื้อไวรัส (Bell’s palsy ใบหน้าเบี้ยว ศัพท์นี้ใช้เรียกรวมๆ ในกรณีหาสาเหตุไม่เจอ แต่ถ้าเกิดจากการกระแทก เรียก traumatic facial nerve palsy) หรือโดนกระแทก ทำลาย ก็จะเกิดหน้าเบี้ยวขึ้นได้

ลักษณะทางกายภาพของเส้นประสาทที่ 7

เส้นประสาทเส้นที่ 7 (cranial nerve 7)
เป็นเส้นประสาท ที่เน้นเรื่องการเคลื่อนไหว มากกว่าการรับความรู้สึก (motor nerve) โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก มอเตอร์นิวเคลียสที่บริเวณใต้ก้านสมอง วิ่งออกมาพร้อมกับเส้นประสาทหูเข้าสู่ช่อง internal auditory meatus วิ่งผ่านกระดูกมาเรื่อยๆ และมาโผล่ออกตรงบริเวณที่เรียกว่า สไตโรมาสตอยด์ ฟอราเมน วิ่งผ่านต่อมน้ำลายพาโรติดที่บริเวณแก้ม และหลังจะนั้นจะแตกแขนงออกมาควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าจากบนลงล่าง จากลักษณะกายภาพ จึงพบว่า เส้นประสาทนี้มีโอกาสโดนทำลาย หรือกระทบสูง ทั้งจากโรคของอวัยวะข้างเคียง หรือการกระทบกระแทกที่ใบหน้าเอง การอักเสบหรือมีผลกระทบที่บริเวณต้นทาง (สไตโรมาสตอยด์ ปุ่มกระดูกใต้กราม) จะทำให้ใบหน้าเบี้ยวทั้งหมด หมายถึงทั้งแก้ม คาง และตา มุมปากตก ตาปิดไม่สนิท ในขณะที่พยายามปิดตาจะทำให้ตาข้างนั้นเหลือกขึ้น (Bell’s phenomenon)

ลักษณะอาการ

อาการของอัมพาต เส้นประสาทใบหน้าที่ 7
1. โดนทำลายจากต้นทาง หนักๆใบหน้า การรู้รสยังปกติ ใบหน้าเบี้ยวทั้งหมด ตั้งแต่บน ตาปิดไม่สนิท ลงมาล่าง มุมปากห้อย
2. โดนทำลายที่ช่องกระดูกติดหูชั้นกลาง จะมีปัญหาลิ้นไม่สามารถรับรสในข้างที่หน้าเบี้ยว
3. โดนทำลายที่ ช่องกระดูกและมีการทำลายของประสาทหูด้วย อาจมีหน้าเบี้ยวร่วมกับการได้ยินเสีย วิงเวียน หูอื้อ ได้ยินเสียงในหู
ลักษณะอาการหน้าเบี้ยว
– รอยย่นบนหน้าผากลดลง
– ตาปิดไม่สนิท ตาเหลือกขึ้นขณะพยายามปิดตา
– น้ำตาไหลตลอด
– มุมปากตก น้ำลายไหลย้อย
โรคที่พบบ่อยที่ทำให้หน้าเบี้ยว

1. Bell’s palsy

เป็นโรคที่ทำให้ใบหน้าเบี้ยว ที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มาพบเพราะตื่นมาแล้วรู้สึกว่ามีหน้าเบี้ยว มุมปากตก ปิดตาไม่สนิท หนักๆที่แก้ม ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการอะไรนำ มีส่วนน้อยมีไข้ หวัด หรือหูอื้อมาก่อน
อุบัติการณ์ 10-40 ต่อ 100000 คน หรือโอกาสเกิด 1 ใน 60 ของผู้ใหญ่ตลอดชีวิตของคนคนหนึ่ง
ลักษณะอาการ
– ใบหน้าเบี้ยวเกิดทันใด ภายใน 48 ชม
– เจ็บหลังใบหู อาจมีก่อน 2-3 วัน
– ลิ้นอาจมีการรับรสข้างที่หน้าเบี้ยวเสียไป
การตรวจวินิจฉัย
– อาการ และอาการแสดง
– MRI อาจพบการบวมของเส้นประสาทที่วิ่งผ่านในกระดูก
การดำเนินของโรคและพยากรณ์โรค
– ส่วนใหญ่ หายเอง ประมาณ80% ของคนไข้ ภายในเดือนหรือสองเดือน ถ้ามีการรักษาภายใน 24-48ชม. อาจดีขึ้นเร็ว
– ถ้าหน้าเบี้ยวไม่มากตั้งแต่ต้น โอกาสหายจะสูง
สาเหตุของ Bell’s palsy
– ยังไม่ชัดเจนแต่เชื่อว่าเป็นเพราะการมี การกำเริบจากเชื้อ Herpes virus I(เริม) ในเส้นประสาทนี้ (บริเวณ ganglion)
การวินิจฉัยแยกโรค
– Tumor เนื้องอกแถวบริเวณนี้
– Ramsey’s hunt syndrome Herpes zoster งูสวัดของ ganglion แถวนี้
– Acoustic neuroma เนื้องอกเส้นประสาทที่ 8 ลามมากด
– Multiple sclerosis
– GBS Guillain-Barre syndrome
– Sarcoidosis
– Lyme disease
– Leprosy โรคเรื้อน
การรักษา
1. ตามอาการ ใช้เทปปิดตาเวลานอนกันกระจกตาโดนฝุ่น ตาแห้งเพราะตาไม่ปิด
2. นวด หรือกระตุ้นไฟฟ้าตามบริเวณเส้นประสาท
3. สเตียรอยด์
4. ยารักษาเริม

  • **ส่วน Bell’s Phenomenon เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นปรากฎการณ์ปกติในคน 75 % ที่มี รีเฟล็กซ์ เวลามีอะไรเข้าใกล้กระจกตา หรือพยายามปิดตา จะเห็นลูกตาขยับขึ้นและหมุนออกด้านนอก เรียกว่า palpebral oculogyric reflex

ใบหน้าเบี้ยวจากเส้นประสาทโดนทำลาย

ดังที่กล่าวแล้วว่า เส้นประสาทเส้นที่ 7 นี้ มีส่วนหนึ่งวิ่งผ่านช่องกระโหลก และออกมาสู่ผิวตื้นโดยฝังอยู่ในต่อมน้ำลายข้างแก้ม ดังนั้น โอกาสโดนทำลายมี โดยเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น กระแทก หรือโดนกดทับเป็นเวลานาน พยากรณ์ของโรคขึ้นกับว่า โดนทำลายแบบใด รุนแรงแค่ไหน เช่น ถ้าโดนกดทับ ไม่มีการขาด ก็จะพยากรณ์โรคดี สามารถหายกลับได้ ถ้าเป็นก้อน มะเร็ง หรือตัดขาด การรักษาจะยุ่งยากซับซ้อน โดยอาจต้องใช้ศัลยกรรมแบบจุลศัลยกรรมร่วมด้วย

นพ.กิจการ จันทร์ดา

เนื้อหาทั้งหมดใน
,